Vet life : ความฝันของฟองคลื่น #JoyAcademyReality
บทที่ 2 ผู้ปกครองตัวจริง
โดย : Night's Shadow
“แฟนคุณทิ้งน้องไว้ที่โรงพยาบาลค่ะ ฉันก็เลยรับมาเลี้ยงต่อ” ฟองคลื่นรีบแสดงความเป็นเจ้าของ ความคิดที่ว่าเธออาจจะต้องคืนจอยให้เจ้าของเดิมทำให้ภายในอกของเธอวูบโหวง หัวใจบีบรัดจนหายใจติดขัดขึ้นมา ความรู้สึกแทบไม่ต่างจากคืนนั้น คืนที่เธอรู้ความจริงทั้งหมดของแฟนหนุ่มเพราะจอยถูกรถชนและต้องการเลือด ตอนนี้เจ้าแมวสีขาวจอมหยิ่งเป็นโลกทั้งใบของเธอ และเธอไม่พร้อมจะเสียมันให้กับใครทั้งนั้น โดยเฉพาะเจ้าของเก่าที่ใจดำทิ้งมันเอาไว้ที่โรงพยาบาลได้ลงคอ
ชายหนุ่มสังเกตเห็นอาการที่เปลี่ยนไปของสาวร่างเล็กตรงหน้าเช่นกัน เขาเห็นความกังวล และเหนืออื่นใด ความกรุ่นโกรธที่พุ่งวาบขึ้นมาในดวงตาสีน้ำตาลของเธอ น้ำเสียงที่กล่าวหาแฟนของเขาว่าทิ้งเจ้าขนฟูเอาไว้ที่โรงพยาบาลทำให้เขาต้องเอ่ยอธิบาย แม้ว่าใจจริงจะไม่อยากพูดถึงเลย
“เธอไม่ได้ตั้งใจทิ้งหรอกครับ จอยมันหายจากบ้านไปหลายวัน แฟนผมไปเจอมันนอนอยู่กลางถนนในคืนนั้นก็เลยรีบขับรถพาไปหาหมอ ตอนนั้นดึกมากแล้ว คุณหมอบอกว่าน้องต้องผ่าตัดด่วน ให้แฟนผมกลับบ้านไปก่อน แฟนผมก็เลยขับรถกลับ เธอโทรมาร้องไห้กับผม โทษตัวเองว่าเป็นคนผิดที่ปล่อยให้จอยหลุดออกจากบ้าน ผมพยายามปลอบให้เธอใจเย็นแต่ก็ไม่ได้ผลเลย เธอคงมัวแต่ร้องไห้จนไม่ได้มองทาง สุดท้ายเธอก็เลยกลับไม่ถึงบ้าน...”
“คะ?” ฟองคลื่นเอ่ยออกไปได้แค่นั้น ในสมองของเธอเปลี่ยนเป็นสีขาวว่างเปล่า
“แฟนผมประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในคืนนั้นครับ” ชายหนุ่มลดสายตาลงมองไปที่แมวสีขาวในอ้อมแขนเหมือนพยายามจะซ่อนอารมณ์บางอย่างจากสายตาหญิงสาว เขากระแอมขณะพูดต่อ “ผมพยายามตามหาจอย เพราะรู้ว่าแฟนผมรักเขามาก แต่ก็ตามหาไม่เจอ แฟนผมเธอไม่ได้บอกว่าเธอพาน้องไปที่โรงพยาบาลไหน แต่ว่าคงไม่ใช่ที่ใกล้บ้าน ผมก็ไม่รู้ทำไม…”
“อาจจะเป็นเพราะโรงพยาบาลที่ฉันทำงานอยู่เสิร์ชเจอง่ายในแมพละมั้งคะ แล้วก็เปิดตลอดทั้งคืนด้วย” ฟองคลื่นกล่าวเสียงอ่อน พยายามจัดการกับข้อมูลที่เพิ่งได้รับมา
สมองของเธอผ่านการทำงานมาทั้งคืน เจอเรื่องนี้เข้าไปถึงกับทำให้กระบวนความคิดล้มคว่ำคะมำหงาย กว่าจะเรียบเรียงให้เข้าที่เข้าทางได้ก็ใช้เวลาหลายวินาที
อยากจะเขกหัวตัวเองเหลือเกิน ที่เคยด่าๆ เจ้าของเก่าเจ้าจอยซะเยอะแยะ นึกว่าเป็นเหมือนพวกคนไร้ความรับผิดชอบที่พอแมวเจ็บหนักก็ทิ้งขว้าง ที่ไหนได้...
“เมี๊ยว” เจ้าเหมียวร้องเบาๆ เหมือนปลอบๆ แล้วเอาคางถูไถกับแขนของชายหนุ่มที่ประคองมันเอาไว้อย่างเอาใจ เรียกเสียงหัวเราะเศร้าๆ จากเจ้าของแขนแกร่ง
“ฉันเสียใจด้วยนะคะ” ฟองคลื่นเอ่ยเบาๆ ความรู้สึกว่างเปล่าครอบงำเธออีกครั้ง
มันเป็นความรู้สึกของคนที่รู้ตัวว่ากำลังสูญเสียสิ่งสำคัญไปอย่างห้ามไม่ได้ ในเมื่อเจ้าเหมียวพบครอบครัวจริงๆ ของมันแล้ว เธอก็คงต้องปล่อยมันไป แต่ว่าถึงอย่างนั้น เธอก็ขอพยายามครั้งสุดท้าย ทั้งๆ ที่ทุกอย่างมันดูจะชัดเจนในตัวเองอยู่แล้วก็ตาม
“คุณมีหลักฐานมั้ยล่ะคะว่าจอยเป็นของแฟนคุณจริงๆ ถ้ามี ฉันจะยอมคืนให้คุณก็ได้” แม้ว่าการที่เจ้าเหมียวดูสนิทสนมกับชายหนุ่มตรงหน้าจะเป็นหลักฐานที่มากเกินพออยู่แล้ว แต่นี่เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ฟองคลื่นจะคว้าเอาไว้ได้แล้วจริงๆ ไม่ว่ายังไง เธอก็ไม่อยากยกจอยให้ใครทั้งนั้น ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของเธอตั้งแต่แรกอยู่แล้วก็ตาม
“มีสิครับ” ชายหนุ่มดูไม่ได้เดือดร้อนใจกับคำถามคาดคั้นแม้เพียงนิด เขาคว้าโทรศัพท์จากม้านั่งข้างตัวแล้วกดปลดล็อคหันมาทางหญิงสาว
ภาพที่ถูกตั้งไว้เป็นภาพหน้าจอเป็นภาพของคนสองคน และแมวหนึ่งตัว ชายหนุ่มกอดเอวหญิงสาวไว้ และหญิงสาวกอดเจ้าแมวสีขาวเอาไว้อีกทีหนึ่ง รอยยิ้มและความอบอุ่นอวลอยู่ในภาพนั้น ทำให้ฟองคลื่นรู้ตัวเองดีว่าเธอเป็นแค่ทางผ่านของจอยเท่านั้น เป็นแค่ที่ซุกหัวนอนระหว่างรอให้ครอบครัวกลับมาเจอกันอีกครั้ง
“ดูเป็นครอบครัวที่อบอุ่นดีนะคะ” ฟองคลื่นกลืนก้อนสะอื้นที่ขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ เธอเอื้อมมือไปเกาคางเจ้าจอยเป็นการบอกลา “เจ้าจอย… คงมีความสุขที่ได้กลับบ้านสักที”
“ไม่ใช่แค่ไอ้จอยหรอกครับ ผมเองก็ด้วย” น้ำเสียงของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความรู้สึกตื้นตันส่งผ่านมาถึงฟองคลื่น “ถึงมันจะไม่มีวันกลับไปเป็นครอบครัวที่ครบสามเหมือนเดิม แต่การได้ไอ้จอยกลับคืนมามันมีความหมายกับผมมากจริงๆ ครับ”
“ดีแล้วล่ะค่ะ คงเป็นโชคชะตาที่ทำให้พ่อกับลูกได้มาเจอกันนะคะ” ฟองคลื่นพยายามยิ้ม ไม่รู้ทำไม จู่ๆ เพียงแค่การยกมุมปากทั้งสองข้างขึ้น ก็ดูเป็นเรื่องยากลำบากขึ้นมา
“ขอบคุณมากนะครับที่เข้าใจผม ขอบคุณที่ดูแลไอ้จอยตลอดเวลาที่ผ่านมาด้วยครับ”
“ยินดีค่ะ” ฟองคลื่นพูดคำที่พูดอยู่ทุกวันจนกลายเป็นความเคยชินด้วยความรู้สึกแปร่งปร่า “หมอขอตัวก่อนนะคะ”
คุณหมอสาวไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอเรียกแทนตัวเองว่าหมอเสียอย่างนั้น เธอวางถุงอาหารแมวที่เพิ่งซื้อมาลงบนพื้นข้างชายหนุ่มแล้วหันหลังเดินจากมา
คงไม่ต้องสั่งเสียหรืออธิบายอะไรกันหรอก ในเมื่อเขาเองก็เลี้ยงเจ้าจอยมาเกือบทั้งชีวิตของมันอยู่แล้ว เปล่าประโยชน์ที่เธอจะไปบอกเขาว่ามันชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ดีไม่ดีเขาจะรู้ละเอียดกว่าเธอเสียด้วยซ้ำ
เท้าทั้งสองข้างหนักราวกับถูกถ่วงไว้ด้วยความรู้สึกเหมือนโดนแย่งของรักไป สมองด้านเหตุผลพยายามอธิบายว่าจอยไม่ได้เป็นของเธอตั้งแต่แรกแล้ว สิ่งที่เธอทำวันนี้ จะทำให้มันได้กลับไปมีความสุขอยู่กับครอบครัว เธอทำสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว แต่สมองซีกที่เต็มไปด้วยอารมณ์ก็แทบจะกระชากตัวเธอให้เดินกลับไปแย่งเจ้าแมวขาวของเธอกลับมา
ตอนนั้นเองที่ฟองคลื่นรู้สึกถึงอะไรนุ่มๆ อุ่นๆ เสียดสีอยู่ที่ขา เธอหยุดเท้าลง ก้มมองเจ้าแมวสีขาวที่วิ่งมาคลอเคลียเธอราวกับแสดงความเป็นเจ้าของ มันเงยหน้าขึ้นสบตาเธอแล้วร้องแง้วด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก ราวกับจะถามว่าแกจะทิ้งฉันไปไหนเรอะเจ้าทาส
ฟองคลื่นหัวเราะออกมา น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงบนหน้าผากของเจ้าเหมียวขณะที่คุณหมอสาวก้มลงอุ้มมันขึ้นมา คงจะเป็นน้ำตาแห่งความโล่งใจละมั้ง
“เอายังไงดีครับเนี่ย?” ชายหนุ่มร่างสูงที่ลุกตามเจ้าเหมียวมาเอ่ยถามขึ้นพลางหัวเราะแห้งๆ “ดูเหมือนไอ้จอยจะติดคุณหมอน่าดูอยู่เหมือนกัน”
ฟองคลื่นเงยหน้าขึ้นมองร่างสูง พอเขายืนขึ้นมาแล้ว เธอรู้สึกเป็นรองยังไงไม่รู้ ด้วยความสูงของเธอยังไม่ถึงไหล่เขาดีด้วยซ้ำ บวกกับมัดกล้ามที่เห็นรางๆ ผ่านเสื้อยืดตัวบาง ยิ่งทำให้เธอรู้สึกตัวเล็กลงไปอีก
“อืม… เอายังไงดีล่ะ?” คุณหมอสาวละสายตาจากชายหนุ่มแล้วก้มลงถามเจ้าเหมียวในอ้อมแขน
“เมี้ยว” คือคำตอบ เจ้าแมวมองหน้าคนทั้งสองด้วยท่าทางจริงจัง “เมี๊ยว”
“คุณว่า มันพูดว่าอะไรคะ?”
“คุณหมอเป็นหมอ น่าจะฟังภาษาแมวรู้เรื่องกว่าผมนะครับ” ร่างสูงบอกกลั้วหัวเราะ
“แต่คุณเป็นพ่อนี่นา”
“หึๆ พ่อที่คอยแต่จะทะเลาะกับลูกน่ะสิ” ชายหนุ่มผ่อนคลายและเป็นกันเองมากขึ้น เหมือนกับว่าพอเห็นไอ้ลูกชายสนิทสนมกับหญิงสาวร่างเล็กตรงหน้า เขาก็รู้สึกสนิทตามไปด้วย “ไอ้จอยนี่เรียกร้องความสนใจที่หนึ่ง เวลามันอ้อนแฟนผมทีไร ผมนี่กลายเป็นหมาทุกที”
“พอจะนึกภาพออกอยู่เหมือนกันค่ะ” ฟองคลื่นพยักหน้าเห็นด้วย
“แง้ว”
“แน่ะ มีเถียงนะไอ้ตัวดี” ร่างสูงเอื้อมมือมามะเหงกหน้าผากขาวๆ ในอ้อมแขนคนตัวเล็กเบาๆ ก่อนจะสะดุ้งน้อยๆ รีบ หดมือกลับเมื่อปอยผมยาวๆ ของคนอุ้มแมวปัดมาโดนนิ้วของเขา “จริงๆ ฝากไอ้จอยไว้กับคุณหมอก่อนก็ดีเหมือนกันนะครับ เพราะตั้งแต่ที่ บี… แฟนผมน่ะครับ เสียไป ผมเองก็ย้ายกลับไปอยู่คอนโด ห้องแคบนิดเดียว ไอ้จอยคงไม่ค่อยชอบใจ แถมต้องแอบเลี้ยงด้วย”
“ได้สิคะ” ฟองคลื่นรีบรับปากอย่างโล่งใจ อย่างน้อยก็ประวิงเวลาออกไปได้ช่วงหนึ่ง
“ขอบคุณครับ”
ความเงียบอันกระอักกระอ่วนโรยตัวลงมาเมื่อจู่ๆ ทั้งคู่ก็เหมือนจะหมดเรื่องคุยกันเสียดื้อๆ ฟองคลื่นจึงเอ่ยถามขึ้นมา เพื่อสร้างบรรยากาศ
“ถามได้มั้ยคะ ว่าทำไมเป็นตัวผู้ ถึงชื่อจอย?”
“อ๋อ ตอนแรกเราเข้าใจว่ามันเป็นตัวเมียครับ ฟาร์มบอกอย่างนั้น” ชายหนุ่มเท้าความ แววตาของเขาเหมือนจมอยู่ในความสุขครั้งอดีต “ผมซื้อมันมาให้บีตอนขอเธอเป็นแฟนน่ะครับ Would you Be my Joy… เล่นคำน่ะครับ บีก็เลยเรียกมันว่าจอยซะเลย”
“น่ารักดีนะคะ” เห็นแววตาเศร้าๆ ตอนชายหนุ่มพูดถึงคนรักที่เสียไป ฟองคลื่นยิ่งรู้สึกว่าเป็นการถูกแล้วที่เธอจะคืนเจ้าจอยให้เขา มันช่วยชีวิตเธอไว้จากช่วงที่เศร้าและเหงาที่สุด ถึงเวลาที่มันจะต้องกลับไปช่วยครอบครัวของมันบ้างแล้วล่ะ “ถ้าคุณพร้อมจะเอาน้องจอยกลับบ้านเมื่อไหร่ ก็บอกได้เสมอเลยนะคะ แลกคอนแทคกันไว้ก็ได้”
“ถ้าไอ้จอยมันชอบอยู่กับคุณหมอ ผมอาจจะขอฝากไว้ที่คุณหมอเลยน่ะครับ แค่อาจจะขอไปเยี่ยมบ้าง ส่วนเรื่องค่ากินอยู่อะไร คุณหมอบอกผมได้เลย ถือซะว่าส่งเขาไปอยู่โรงเรียนประจำละกันครับ” ดวงตาเรียวกระพริบถี่ไล่หมอกควันของความเศร้าสร้อยทิ้งไป “เพราะผมก็คงไม่ได้ย้ายกลับไปอยู่บ้านในเร็วๆ นี้แล้วล่ะครับ มันหลังใหญ่ไป อยู่คนเดียวกับแมว วังเวงแย่เลยครับ”
“เอางั้นเหรอคะ พูดแล้วนะคะว่าจะไม่เอาคืน” ฟองคลื่นกอดเจ้าเหมียวแน่นขึ้นจนมันขยับตัวอย่างอึดอัด “ส่วนเรื่องค่าเลี้ยงดูไม่ต้องหรอกค่ะ ไม่ได้ลำบากอะไรเลย”
“แต่ผมอยากให้ ถือว่าเป็นค่าเข้าเยี่ยมก็ได้ครับ ถ้าไม่ได้ให้อะไรคุณหมอเลย ผมต้องไม่กล้าไปเยี่ยมน้องแน่ๆ เลย ครับ”
“ก็ได้ค่ะ งั้นคุณ...”
“ซีครับ”
“งั้นคุณซีคอยซื้ออาหารของน้องมาให้ดีมั้ยคะ ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ พวกทรายแมว เดี๋ยวฟองจัดการเอง” คุณหมอสาวเปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเอง เพราะจู่ๆ ก็รู้สึกว่าการเรียกตัวเองเป็นหมออยู่ทุกคำดูห่างเหินชอบกล จอยไม่ได้เป็นผู้ป่วยของเธอสักหน่อย นี่ก็ลูกเธอเหมือนกันนะ
“อ่า แบบนั้นก็ดีนะครับ งั้นผมจ่ายค่าอาหารถุงนี้ให้ก่อนเลย” ร่างสูงชูถุงอาหารที่เขาหิ้วมาด้วยขึ้นมา
“คิก… เอาไว้รอบหน้าก็ได้ค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้จ่ายเงินหรอก จอยกินเก่งจะตาย” ฟองคลื่นยื่นมือจะรับถุงอาหารมาถือไว้ แต่ซีกลับลดมือลงซ่อนไว้ด้านหลังเสียก่อน
“เอ่อ…” ท่าทางลังเลลำบากใจทำให้ทั้งหญิงสาวร่างเล็กและแมวขาวในอ้อมแขนของเธอเอียงคอมองเขาอย่างแปลกใจ ซีมองภาพนั้นแล้วหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ดูเหมือนไอ้จอยของเขาจะเข้ากับแม่ใหม่ได้ดีเหลือเกิน “จะเป็นไรมั้ยครับ ถ้าผมจะขอร้องอะไรคุณหมอสักอย่าง?”
“อะไรคะ?” ฟองคลื่นจับสังเกตได้ว่าชายหนุ่มดูซีเรียสขึ้นมาอีกระดับ ใจเธอก็พลอยเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ตามไปด้วย ไม่ใช่จะเปลี่ยนใจขอจอยคืนหรอกใช่มั้ย
“ผมจะขออนุญาตพาไอ้จอยไปเยี่ยมหลุมศพบีได้มั้ยครับ?”
“โอ้… ได้สิคะ” ปากก็บอกว่าได้ แต่กลับกอดเจ้าแมวเอาไว้แน่นเชียว ราวกับกลัวว่าเขาจะเอามันไปแล้วไม่ยอมคืนให้ ยังไงยังงั้น
“ถ้าคุณหมอเป็นกังวล จะไปด้วยกันก็ได้นะครับ ไปดูแลไอ้จอยมันด้วย ไปฮวงซุ้ยครั้งแรก ไม่รู้ว่ามันจะกลัวมั้ย”
“ก็ได้ค่ะ” ฟองคลื่นรับปาก ทั้งๆ ที่จริงๆ เธอไม่คิดว่าจอยจะเป็นแมวประเภทที่กลัวอะไรง่ายๆ หรอก มีแต่เธอจะกลัวมันหายเนี่ยแหละ “ไปเมื่อไหร่ล่ะคะ ฟองอาจจะหาวันว่างยากนิดหน่อย ทำงานไม่เป็นเวลาน่ะค่ะ”
“เอ่อ วันนี้เลยได้มั้ยครับ อาจจะดูรีบไปหน่อย แต่ผมอยากให้บีได้เจอจอยเร็วๆ น่ะครับ เธอจะได้หมดห่วง” ชายหนุ่มเร่งรัด “แต่ถ้าคุณหมอไม่สะดวก ก็ไม่เป็นไรนะครับ”
“อ่า จริงๆ ฟองก็ว่างนะคะวันนี้” หญิงสาวลังเล เวลาน่ะมีอยู่ แต่เธอไม่ได้นอนมาทั้งคืนเลยนะ แอบง่วงอยู่เบาๆ ขี้เกียจขับรถแล้ว “เราจะไปกันยังไงคะ?”
“คุณหมอมาที่นี่ยังไงนะครับ คือผมไม่ได้เอารถมา ถ้ายังไงผมขอกลับไปเอารถที่คอนโดแล้วเราขับตามกันไปดีมั้ยครับ ฮวงซุ้ยของบีอยู่ที่ชลบุรีน่ะครับ” ชายหนุ่มเสนอ เขาไม่กล้าพูดว่าให้นั่งไปด้วยกัน เพราะเข้าใจในมุมของหญิงสาวอยู่ว่ามันอาจจะดูไม่น่าไว้ใจ ยังไงก็เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่กี่นาที
แต่ดูเหมือนคุณหมอสาวร่างเล็กจะไม่ได้คิดแบบนั้น เธอดูไม่ได้ลำบากใจอะไรเลยด้วยซ้ำเมื่อเป็นฝ่ายเสนอขึ้นมาเอง
“ขับรถฟองไปก็ได้ค่ะ” เขาดูไม่ใช่คนอันตรายอะไร อีกอย่าง ถ้าเจ้าจอยไว้ใจเขา เธอก็ไว้ใจแหละ
“ได้หรือครับ?” ซีถามย้ำอีกครั้ง
“นี่ก็ตอนกลางวัน อีกอย่าง คุณซีคงไม่เอาฟองไปฆ่าหมกป่าช้าหรอกใช่มั้ยล่ะคะ?”
...
ฟองคลื่นยกกุญแจรถให้ชายหนุ่มไป ส่วนเธอขึ้นไปนั่งฝั่งผู้โดยสารพร้อมกับจอยในอ้อมกอด เจ้าแมวขาวมองค้อนเธออย่างกล่าวหาประมาณว่าเธอมาแย่งที่มันนั่ง แต่เพียงไม่นาน มันก็ค้นพบว่านั่งบนตักคน อบอุ่นสบายกว่านั่งบนเบาะเสียอีก ก็เลยพาดคอกับแขนของเธอแล้วกรนอย่างสุขใจ
"ขอบคุณมากนะครับที่รักไอ้จอยมัน" ซีเหลือบมองเจ้าแมวตัวโตบนตักหญิงสาวเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปจดจ่อกับถนนตรงหน้า
"จอยช่วยฉันไว้เยอะเลยค่ะ ถ้าไม่ได้น้อง ฉันก็ไม่รู้ว่าป่านนี้ตัวเองจะเป็นยังไง" ฟองคลื่นลูบขนสีขาวลื่นๆ ไปมา เธอเห็นประกายสงสัยในดวงตาที่เหลือบมองมาแวบหนึ่งนั้น จึงขยายความต่อ"ฉันเลิกกับแฟนน่ะค่ะ ถ้าไม่มีจอยเป็นเพื่อน ไม่รู้ฉันจะอยู่ได้มั้ย เราคงโชคดีที่ได้มาเจอกันมั้งคะ"
"เหมือนที่ผมโชคดีที่วันนี้ได้มาเจอคุณกับไอ้จอยพอดีเลย" ซียิ้มออกมา "เหมือนเป็นปาฏิหาริย์เลยนะครับ"
"นั่นสิคะ คุณไปที่นั่นบ่อยมั้ยคะ ฉันไปเดินห้างนั้นบ่อยๆ เลยเพราะพาแมวเข้าไปด้วยได้ค่ะ"
"ผมก็ไปที่นั่นบ่อยเพราะอยู่ใกล้คอนโด แต่ปกติก็แค่ซื้อของแล้วกลับน่ะครับ แต่วันนี้พอดีลูกค้าทักมา ก็เลยนั่งคุยยาว ไม่งั้นคงไม่ได้เจอไอ้จอยมัน"
ร่างสูงปล่อยมือจากเกียร์แล้วเอื้อมไปลูบหัวเจ้าแมวที่ถูกพูดถึงอย่างเผลอไผล ความใกล้ชิดนั้นทำให้หัวใจของฟองคลื่นเต้นผิดจังหวะไปน้อยๆ แต่หญิงสาวก็รีบปัดความรู้สึกนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว จะไปรู้สึกอะไรกับผู้ชายที่เพิ่งจะเสียคนรักไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์กันเล่า
"ว่าแต่ คุณหมอเป็นคนรักษาไอ้จอยตอนโดนรถชนเหรอครับ?"
"เรียกฟองว่าฟองคลื่นก็ได้ค่ะ ฟองเป็นหมอเบื่อแล้ว" หญิงสาวออกตัว รู้สึกแปลกๆ ที่ถูกคนอื่นเรียกว่าหมอนอกเวลางาน
"โอ้ นึกว่าถ้าไม่เรียกหมอ จะดูเหมือนไม่เคารพอะไรแบบนี้ซะอีก"
"หมอก็คนนี่ล่ะค่ะ เคารพ ไม่เคารพอะไรกัน" หญิงสาวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นปิดปากหาว "ก็ไม่เชิงเป็นคนรักษาหรอกค่ะ เราช่วยกันหลายคน แต่ฟองเป็นคนเอาน้องกลับบ้านไปเลี้ยงต่อหลังจากรักษาหายเท่านั้นเองค่ะ"
"ยังไงก็ขอบคุณหมอฟองมากนะครับ"
"อย่างที่ฟองบอกแหละค่ะ จอยก็ช่วยฟองไว้มากเหมือนกัน" หญิงสาวพยายามกระพริบตาไล่ความง่วงที่จู่โจมหนักขึ้นเรื่อยๆ "คุณซีล่ะคะ ทำงานด้านไหน"
"ผมทำเกี่ยวกับโฆษณาครับ เป็นอาร์ตไดเร็คเตอร์ แบบว่า คอยคิดออกแบบโฆษณา อะไรแบบนั้นน่ะครับ"
"โอ้ งั้นฟองก็ต้องเรียกว่าคุณอาร์ตไดซีสินะคะ"
"หมอฟอง เอ้ย คุณฟองไม่ต้องประชดผมขนาดนั้น ไม่เรียกหมอแล้วก็ได้คร้าบ"
"ฟองแซวขำๆ ค่ะ แบบนี้คุณซีถ่ายโพรดักเองด้วยมั้ยคะ หรือว่าเป็นฝ่ายครีเอทีฟเฉยๆ?"
"ก็ถ่ายบ้างครับบางที บริษัทที่ผมทำงานอยู่ใหญ่เหมือนกัน แต่ก่อนมีบีเป็นช่างภาพประจำครับ แต่ช่วงหลังนี้ ยังหาช่างภาพใหม่ไม่ได้ ผมเลยถ่ายเองไปก่อน แต่จริงๆ ผมถนัด CG พวกงานที่สร้างจากคอมพิวเตอร์มากกว่า" ซีอธิบาย แอบเศร้านิดหน่อยเมื่อต้องพูดถึงแฟนสาวที่จากไป แต่พอเห็นสภาพแอบปิดปากหาวอย่างสุภาพของคนข้างๆ ก็อดแซวไม่ได้ "ว่าแต่ คุณฟองดูเหนื่อยๆ นะครับ หาวไปฟังไปเชียว"
"ขอโทษทีค่ะ พอดีฟองเพิ่งเลิกงานแปดโมงเช้านี้เอง"
"โอ้ หมอสัตว์ก็มีเข้าเวรดึกเหมือนหมอคนเลยหรือครับเนี่ย?"
"ถ้าเป็นโรงพยาบาลที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง ก็ใช่ค่ะ"
"งั้นหมอฟองนอนไปก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวถึงแล้วผมปลุก"
"ฟองเกรงใจ คุยเป็นเพื่อนคุณซีดีกว่า"
"ไม่เป็นไรครับ ผมขับรถคนเดียวชินแล้ว"
ได้รับอนุญาตไม่ถึงนาที หญิงสาวก็หลับคอพับไปอย่างรวดเร็ว ซีมองหนึ่งคนหนึ่งแมวที่แข่งกันกรนอยู่บนเบาะข้างคนขับแล้วยิ้มอย่างเอ็นดู หมออะไรไม่รู้ ตัวเล็กเหมือนเด็กมัธยม แถมยังไว้ใจคนง่าย ไม่ระวังอะไรเลย นี่ถ้าเขาเป็นคนร้าย เธอคงจบไม่สวยแน่ๆ
...
"หมอฟอง ถึงแล้วครับ" ชายหนุ่มยังคงเรียกอีกฝ่ายว่าหมออย่างติดปาก
หญิงสาวปรือตาขึ้นมองคนที่เดินอ้อมมาเปิดประตูให้เธอ พร้อมกับเจ้าจอยที่ลุกขึ้นบิดตัวไปมาอย่างเกียจคร้าน
"เร็วจังเลยค่ะ" ฟองคลื่นอุ้มเจ้าจอยขึ้นจากตักแล้วก้าวลงจากรถมาสู่แสงแดดจ้า
ตรงนี้ไม่เชิงว่าเป็นลานจอดรถ แค่เนินหญ้าว่างๆ ที่มีร่องรอยล้อรถเท่านั้น ถัดไปไม่ไกลคือเนินเขาที่มีฮวงซุ้ยเรียงรายลดหลั่นกันลงมา บ้างใหญ่บ้างเล็กสลับกันไป ในช่วงที่ไม่ใช่เทศการ ดูเงียบเหงาวังเวงชอบกล
"หมอฟองหลับสนิทเลยน่ะสิครับ" ร่างสูงแซวขณะเดินนำลัดเลาะไปตามเนินหญ้า
ตอนแรกฟองคลื่นจะปล่อยให้เจ้าจอยเดินตามมาเองเหมือนที่ทำประจำ แต่มันร้องงอแงไม่ยอมเดิน เธอเลยต้องอุ้มมันไว้แล้วก้าวถี่ๆ ตามร่างสูงไป
"เลยไม่ได้ซื้ออะไรมาไหว้คุณบีเลยนะคะ" คนตัวเล็กเอ่ยเสียงอ่อยอย่างนึกได้
"แค่เอาไอ้จอยมา บีก็คงดีใจแล้วละครับ" ซีหยุดลงหน้าหลุมศพขนาดกลางหลุมหนึ่ง "ใช่มั้ยบี?"
คราวนี้จอยเป็นฝ่ายดิ้นออกจากอ้อมแขนของฟองคลื่น เธอจึงปล่อยมันลงกับพื้น แต่ไม่กล้าละมือจากสายจูงเพราะกลัวมันวิ่งเตลิดไป เมื่อเจ้าเหมียวเดินตัดลานปูนตรงไปยังป้ายหลุมศพ เธอจึงต้องเดินตามไปด้วย เจ้าแมวขาวเดินเข้าไปถูไถป้ายหลุมศพย้อมจนขนกลายเป็นสีเทา ก่อนจะนอนลงเหยียดยาวหน้าป้ายนั้นเอง ชื่อบนป้ายเป็นภาษาจีนถูกทาสีเขียวเอาไว้เป็นความหมายว่าเจ้าของหลุมนอนหลับอยู่หลังแผ่นป้ายนี้แล้ว
"เป็นแมวนี่ก็ดีนะครับ แค่นอนน่ารักๆ ไปวันๆ" ซีซึ่งเดินตามมาคุกเข่าลงไม่ไกลจากเจ้าจอยเปรยขึ้นมา
"แมวก็อาจจะรู้สึกว่าเป็นคนนี่ดีนะ ได้ออกไปข้างนอก พบเจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ ทุกวัน ไม่ต้องอยู่แต่บ้าน น่าเบื่อ แล้วก็ไม่ต้องคอยพึ่งพาคนอื่นหาข้าว หาน้ำให้" ฟองคลื่นออกความเห็นเบาๆ
"ไอ้จอยคงรู้สึกแบบนั้นตอนที่หนีออกไปจากบ้านมั้งครับ" น้ำเสียงของชายหนุ่มแปร่งปร่าเล็กน้อย "วันนั้นบีมีงานด่วน เธอรีบออกไปเลยลืมปิดประตูบ้านให้แน่น ไอ้จอยมันคงสงสัยว่าบีออกไปไหนได้ทุกวันเลยตามออกไป แต่คงคลาดกัน"
"อาจจะเป็นเรื่องของโชคชะตาน่ะค่ะ" หญิงสาวไม่รู้จะปลอบใจอีกฝ่ายยังไง ก็เลยโบ้ยให้เป็นความผิดของโชคชะตา
"ผมก็บอกบีแบบนั้นเหมือนกันครับตอนที่เราพยายามหาไอ้จอยแต่ก็หาไม่เจอ แต่บีคงหยุดโทษตัวเองไม่ได้จริงๆ ยิ่งพอตามหาอยู่เป็นอาทิตย์แล้วมาเจอไอ้จอยนอนใกล้ตายอยู่กลางถนนหน้าบ้าน ยิ่งคุมสติไม่อยู่เลย"
ยิ่งพูด อารมณ์ที่สะสมอยู่ข้างในก็ยิ่งพลุ่งพล่าน มันเอ่อทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตกจนชายหนุ่มรู้สึกว่าจำเป็นต้องเล่าเรื่องทั้งหมดออกมาเพื่อระบายมันออกไป ไม่อย่างนั้นเขาคงเป็นบ้าไปจริงๆ
“ผมเฝ้าบอกบีว่าให้อภัยตัวเองได้แล้ว แต่พอถึงเวลา ผมเองนี่แหละครับที่ทำไม่ได้เลย ถ้าคืนนั้นผมอยู่บ้านกับบี ผมคงเป็นคนขับรถพาไอ้จอยไปหาหมอ ถ้าเป็นแบบนั้น บีก็คงไม่ตาย”
หยดน้ำตากลิ้งลงมาเปียกหน้ากากอนามัยสีดำหยดแล้วหยดเล่า ฟองคลื่นเม้มปากมองภาพนั้นด้วยความหดหู่ เธอเอื้อมมือออกไปวางบนไหล่หนาโดยไม่พูดอะไร ทำอย่างที่เธอเคยทำมาเป็นสิบเป็นร้อยครั้ง เพียงแต่ครั้งก่อนๆ เธอทำในฐานะสัตวแพทย์และที่เสียชีวิตคือสัตว์เลี้ยง ว่ากันว่าหมอที่จะเป็นคนแจ้งเสียชีวิตที่ดีได้จะต้องทนอยู่ในความเงียบที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าได้ ฟองคลื่นคิดว่า กับเรื่องนี้เธอทำได้ดีพอสมควร
ความอบอุ่นบางเบาจากมือเล็กราวกับเป็นกุญแจสู่อิสรภาพ ความรู้สึกผิดพากันหาทางหลั่งไหลออกมาเป็นถ้อยคำ หนีจากคุกมืดภายในหัวใจที่เจ็บปวด ปลดปล่อยตัวออกออกมาสู่แสงสว่าง
“ช่วงนั้นผมแอบหงุดหงิดบี เพราะบีเอาแต่ออกตามหาไอ้จอยจนไม่เป็นอันทำงาน ผมก็เลยต้องทำงานในส่วนของบีด้วย ผมไม่ได้บ่น ก็พยายามเข้าใจเขาน่ะครับ เพราะรู้ว่าเขากำลังรู้สึกผิดที่ไอ้จอยหายไป ผมก็เลยปล่อยให้เขาตามหาไปเรื่อยๆ แต่ถึงจะไม่ได้พูดมันออกมา ผมว่าบีรู้สึกได้อยู่ดี บีเอาแต่พร่ำขอโทษที่ผมต้องมาทำงานแทนเธอ จนผมรำคาญ ก็เลยตัดปัญหาด้วยการไม่เอางานกลับมาทำที่บ้าน แต่นั่งทำมันที่บริษัทเลย” เสียงสะอื้นที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้คำพูดนั้นขาดห้วง แต่ซีก็ดึงดันจะเล่าต่อไปเรื่อยๆ “เพราะงั้น ผมเลยไม่ได้อยู่บ้านในตอนที่บีเจอไอ้จอย เธอโทรมาบอกผมว่ากำลังพาไอ้จอยไปโรงพยาบาล ตอนนั้นผมรีบขับรถกลับบ้านเลย ขับไปก็โทรหาบีไปด้วย ปลอบเธอ บอกให้เธอใจเย็นๆ อย่าประมาท แต่แค่คำพูดคงไม่พอ ผมควรจะอยู่ข้างๆ บีในตอนนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมแค่ไม่ได้อยู่ เพราะความหงุดหงิดของตัวเองแท้ๆ ผมยังจำเสียงสะอื้น เสียงกรีดร้อง เสียงแตรที่ดังลอดออกมาทางโทรศัพท์ได้ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบไป แล้วก็กลายเป็นผมเองที่ขับรถตามหาบีอย่างกับคนบ้า จนกระทั่งมีสายโทรมาจากโรงพยาบาลว่าบีเสียแล้ว...”
คำพูดถูกกลืนหายไปกับเสียงสะอื้นและน้ำตา ฟองคลื่นตบไหล่ที่สั่นสะท้านเป็นจังหวะเนิบช้าแผ่วเบาอย่างปลอบโยน เธอไม่ได้พูดออกมาว่าไม่เป็นไร หรือบอกให้เขาหยุดร้อง เพราะเธอรู้ว่าสำหรับเขา มันเป็น และเป็นมากด้วย น้ำตาจะช่วยเยียวยาบาดแผลนี้ได้ อาจจะไม่ได้หายสนิท แต่มันจะเบาบางลง
ร่างเล็กควานหากระดาษทิชชูในกระเป๋าถือแล้วส่งมันให้ซี ดวงตาสีน้ำตาลถลึงมองเจ้าแมวขาวที่นอนเหยียดยาวไม่สนใจ พยายามจะส่งสัญญาณให้มันช่วยมาปลอบชายหนุ่มร่างโตคนนี้ ทำเหมือนที่มันคอยปลอบเธอมานับครั้งไม่ถ้วนตอนที่เธอร้องไห้ไม่ยอมหยุด แต่คราวนี้จอยกลับไม่สนใจ มันปรายตามองเธอเหมือนกับว่านี่ไม่ใช่หน้าที่มัน แต่เป็นหน้าที่ของเธอที่จะปลอบโยนผู้ชายตรงหน้า ส่วนมันจะนอนอยู่กับนายสาวของมันตรงนั้นจนกว่าจะพอใจ
“ผมไม่ได้เอ่ยปากขอโทษบีด้วยซ้ำที่ไม่ได้อยู่ข้างเธอในเวลาที่เธอต้องการที่สุด” ซีปลดปล่อยความลับสุดท้ายที่ไม่เคยบอกใครออกมาด้วยเสียงกระซิบ “ผมเป็นสาเหตุที่บีต้องตาย และผมไม่มีโอกาสแม้แต่จะสารภาพกับเธอ หรือบอกกับเธอว่าผมเสียใจ”
“คุณกำลังบอกคุณบีอยู่นี่ไงคะ ฟองว่าคุณบีคงรับรู้ได้แน่ๆ” ร่างเล็กบอกอย่างอ่อนโยน “แล้วคุณยังพาจอยมาหาคุณบีด้วย คุณบีคงโล่งใจที่น้องปลอดภัย คุณเองก็เหมือนกัน คุณบีคงจะสบายใจขึ้นนะคะ ถ้าเห็นคุณเลิกโทษตัวเองแล้วใช้ชีวิต ต่อไปอย่างดี”
“ขอบคุณนะครับ”
...
ชายหนุ่มนั่งสะอื้นเงียบๆ อยู่อีกพักใหญ่จนฟองคลื่นแอบคิดในใจว่าเธอจะขอร้องให้เขากลับยังไงถึงจะดูสุภาพ เพราะตอนนี้เธอร้อนไม่ไหวแล้ว แดดก็เผา พื้นปูนก็ร้อนลวก แต่ดูเหมือนเจ้าจอยจะคิดเหมือนเธอ เมื่อมันลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วเดินมากระโดดขึ้น บนตักของซีพลางร้องแง้วๆ อย่างเอาแต่ใจ
“อยากกลับแล้วเหรอ?” ซีถามด้วยเสียงทุ้มที่ขึ้นจมูกนิดๆ เขาสูดน้ำมูกแล้วกระแอม “คุณฟองก็คงอยากกลับแล้วเหมือนกัน ขอโทษนะครับที่ทำให้เสียเวลานานเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฟองเข้าใจ” ฟองคลื่นยิ้ม พยายามไม่ให้ร่องรอยความโล่งใจหลุดลอดออกมา ไม่อยากให้เขารู้ว่าจริงๆ แล้วเธออยากกลับจะแย่
ร่างสูงลุกขึ้นยืนพร้อมอุ้มเจ้าแมวสีขาวที่ตอนนี้เปื้อนฝุ่นเป็นด่างๆ ขึ้นมา เอ่ยลาแฟนสาวในหลุมศพ แล้วเดินกลับไป ขึ้นรถ
“ฟองขับให้ดีกว่าค่ะ คุณซีพักผ่อนดีกว่า” ได้นอนในรถตอนขามา ทำให้ลดความง่วงไปได้ระดับหนึ่งแล้ว
“ขอบคุณครับ” ซีส่งกุญแจรถให้หญิงสาวโดยไม่อิดออด สภาพของเขาตอนนี้ไม่เหมาะจะขับรถจริงๆ นั่นแหละ
“ฟองมีแมสก์ใหม่ๆ อยู่ในลิ้นชักหน้ารถนะคะ แมสก์คุณซีเปียกหมดแล้ว” ฟองคลื่นบอกขณะถอยรถออกจากสุสาน
“ขอบคุณนะครับ” ชายหนุ่มถอดหน้ากากอนามัยออก ก่อนจะควานหาถุงแมสก์ในลิ้นชักหน้ารถ
ฟองคลื่นแอบเหลือบมองใบหน้าด้านข้างนั้นแบบพยายามไม่ให้เสียมารยาท ก็เธออยากรู้นี่นาว่าพ่อหนุ่มที่เธอให้นิยามเอาไว้ว่าหล่อทะลุแมสก์ ตอนถอดแมสก์ออกมาจริงๆ จะหล่อขนาดไหน แล้วเธอก็ไม่ผิดหวัง ในใจยังแอบคิดว่าหน้าตาแบบนี้ ทำงานเบื้องหน้ายังได้ ไม่น่าเป็นครีเอทีฟทำงานเบื้องหลังเลย เสียดายของ แต่เธอไม่เฉลยออกมาหรอก แค่ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ขับรถต่อไปอย่างไม่หวั่นไหว
“ไม่ได้ร้องไห้หนักขนาดนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วมั้งครับ เขินคุณหมอเหมือนกันนะเนี่ย” รอยยิ้มอายๆ ของคนตัวโตทำให้ฟองคลื่นอยากตะโกนว่ายอมแพ้แล้ว รีบๆ ใส่หน้ากากเข้าไปเลยจ้าพ่อคุณ น่ารักไม่ไหว แต่ภายนอกได้แต่ทำท่านิ่งๆ ยิ้มนิดๆ พอเป็นพิธี
“คนเราร้องไห้ เป็นเรื่องธรรมชาติค่ะ”
“เราแวะทานข้าวกันมั้ยครับ เหมือนใช้พลังงานเยอะ หิวซะแล้ว” ซีเปลี่ยนเรื่อง “ผมจะได้เลี้ยงข้าวตอบแทนหมอฟองด้วย อุตส่าห์เสียเวลานอนมาเป็นเพื่อนผมถึงนี่”
“คุณซีทานอาหารทะเลได้มั้ยล่ะคะ?”
“ของโปรดเลยละครับ”
ไม่กี่นาทีต่อมา ฟองคลื่นจึงจอดรถหน้าร้านอาหารทะเลริมหาดแห่งหนึ่ง ร้านเด็ดที่ไนล์เคยพาเธอมากิน ฟองคลื่นถอนหายใจเบาๆ เมื่อใบหน้าของแฟน (เก่า) แวบขึ้นมาในความคิด เธอพยายามปัดเขาออกไปพลางทรุดตัวนั่งที่โต๊ะริมนอกสุด เพื่อที่เจ้าจอยจะได้นั่งอยู่ด้วยได้
หลังจากสั่งอาหารเรียบร้อย ซีมองหญิงสาวร่างเล็กฝั่งตรงข้ามซึ่งกำลังเหม่อออกไปทางทะเลด้วยความรู้สึกประหลาด ดวงตาสีน้ำตาลลึกโหลอย่างคนอดนอนมีเงาของความเศร้าที่ปิดไม่มิด ราวกับว่าโลกได้เหวี่ยงคนสองคนที่บาดเจ็บมาเจอกัน เพื่อรักษาเยียวยาซึ่งกันและกันยังไงยังงั้น เขากำลังคิดว่าจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นยังไงดี เขาไม่ใช่คนที่ปลอบใครเก่งเสียด้วย อาชีพของเขาไม่ได้ต้องทำอะไรแบบนี้ ไม่เหมือนเธอ ที่แค่ยื่นมือมาตบไหล่ เขาก็รู้สึกสบายใจอย่างประหลาด ราวกับเป็นความสามารถพิเศษของเธอยังไงยังงั้น
“เมี๊ยว” เจ้าจอยร้องเบาๆ พลางยืดตัว เอาหน้าถูกับคางของหญิงสาว พร้อมกับเหลือบมองไปยังชายหนุ่มเหมือนจะบอกว่าเวลาปลอบคน เขาทำกันแบบนี้ไงเจ้าโง่ สายตานั้นทำให้คนถูกมองได้แต่หัวเราะแห้งๆ คิดในใจว่าเขาทำแบบมันไม่ได้นี่ ไอ้แมวบ้า
ฟองคลื่นละสายตาจากทะเลก้มลงลูบเจ้าเหมียว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเปิดบทสนทนาเมื่อรู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มจะหนักอึ้งเกินไปแล้ว
“ชื่อคุณซีมาจากทะเลรึเปล่าคะ?”
“ใช่ครับ พอดีพ่อแม่ผมไปฮันนีมูนที่ทะเล แล้วก็ได้ผมมา ก็เลยตั้งชื่อเป็นการรำลึกถึงสถานที่เกิดที่แท้จริงของผมน่ะครับ”
“ฟองก็เหมือนกันค่ะ” หญิงสาวบอกแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “สถานที่เกิดที่แท้จริง… เข้าใจพูดนะคะ ไว้ฟองจะเอาไปใช้บ้าง ฟองโดนถามบ่อยเหมือนกันค่ะว่าทำไมชื่อฟองคลื่น จะบอกว่าพ่อแม่ฟองไป เอ่อ สร้างฟองกันขึ้นมาในน้ำทะเล ก็อายปากตลอดเลยค่ะ”
“โอ้โห แอดวานซ์น่าดูเลยนะครับนั่น” ชายหนุ่มทำตาโตพลางหลุดหัวเราะออกมา “แต่คนส่วนใหญ่จะคิดว่าชื่อผมมาจากตัวอักษรภาษาอังกฤษกันนะครับ จริงๆ ที่ผมรู้จักกับบีก็เพราะอย่างนั้นเลยครับ เพราะมาทำงานที่เดียวกัน คนหนึ่งบี คนหนึ่งซี เพื่อนที่ทำงานก็เลยจิ้นกันสนุกเลย จิ้นจนรักกันจริงๆ นี่แหละครับ”
ฟองคลื่นมองรอยยิ้มตาหยีของฝ่ายตรงข้ามอย่างพอใจ เขาคงสบายใจขึ้นแล้วสินะ ถึงแม้มันจะไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอ แต่หญิงสาวก็รู้สึกเหมือนเป็นหน้าที่ในฐานะเพื่อนมนุษย์ ที่จะต้องทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าหลุดพ้นจากความเศร้าของการโทษตัวเอง
ไม่นานอาหารก็ลำเลียงมาถึง ซีทำหน้าที่แกะกุ้งให้ตัวเองและฟองคลื่นด้วย หญิงสาวกล่าวขอบคุณก่อนจะใช้มือหยิบกุ้งที่ถูกส่งมาให้ในจานขึ้นบิเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วส่งให้เจ้าแมวขาวที่นั่งมองตาเป็นมันอยู่
“เอ่อ… คุณหมอครับ แมวกินกุ้งได้เหรอครับ?” ชายหนุ่มท้วงเบาๆ อย่างข้องใจ
“ชู่ กินนิดเดียว หมอไม่รู้หรอกค่ะ” คุณหมอสาวแกล้งทำเสียงกระซิบ “นี่ฟองให้ในฐานะแม่ค่ะ ไม่ได้ให้ในฐานะหมอ”
“ได้เหรอครับคุณหม๊อ”
“ก็น้องจอยหิวนี่นา เมื่อเช้าก็กินไม่อิ่มเพราะอาหารหมดก่อน” ฟองคลื่นยังคงหาข้ออ้างให้เจ้าเหมียวต่อไป นี่แหละนะ ที่เขาว่าพอเป็นตัวเองละข้อยกเว้นเยอะเชียว ทีหมาแมวเคสนี่ไม่ได้เลย
“เดี๋ยวผมเดินกลับไปเอาถุงอาหารเม็ดในรถมาให้ก็ได้ครับ” ซีเสนอตัว เริ่มคิดหนักว่าการฝากแมวไว้กับคุณหมอนี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องจริงๆ ใช่มั้ย
“แง่ว” เจ้าจอยปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมกับรีบงับกุ้งทั้งตัวหนีไปกินที่มุมเก้าอี้ทันที
“นานๆ ทีน่ะค่ะ ฟองไม่ได้ให้น้องจอยกินแบบนี้บ่อยๆ หรอก” ฟองคลื่นรีบออกตัวเมื่อเห็นสายตาอึ้งๆ ของชายหนุ่ม “อยู่กับฟองปลอดภัยหายห่วงสุขภาพแข็งแรงแน่นอนค่ะ”
“จริงนะครับ”
“จริงสิคะ แต่ว่าฟองขอเอากุ้งให้จอยอีกตัวนะคะของโปรดเขาน่ะค่ะ ตัวสุดท้ายของวันนี้แล้ว”
“คุณหมออออ” ซีลากเสียงยาว แต่ต้านทานอะไรไม่ได้ ทั้งแววตาสีน้ำตาลวิบวับของเจ้านายสาว และดวงตาสีเขียวหยิ่งๆ ของไอ้ลูกชาย ที่มองมาพร้อมกับส่งกระแสไฟดังเปรี๊ยะๆ ประมาณว่าถ้าไม่ยอมให้กินกุ้งล่ะก็ ฉันจะพุ่งไปข่วนหน้าแก
คุณต้องการที่จะเริ่มอ่านบทนี้ใหม่ใช่หรือไม่ ?
ความเร็วในการอ่านแบบอัติโนมัติ
เสียงข้อความ
ปลดล็อกเพื่ออ่าน
Vet life : ความฝันของฟองคลื่น #JoyAcademyReality
จ่ายด้วยเหรียญ ได้อ่านตอนนี้เลย
ตอนที่ต้องรอเวลาอ่านฟรี? จะลดลงครึ่งนึงทันที
ปลดล็อกเพื่ออ่าน
Vet life : ความฝันของฟองคลื่น #JoyAcademyReality